สรุปศิลปะยุโรป 300 ปี ก่อนจะมาเป็น Bauhaus - DSUN 5

รากฐานแห่งการออกแบบสมัยใหม่: เจาะลึก 3 กระแสประวัติศาสตร์ที่หล่อหลอมจิตวิญญาณของ Bauhaus

ก่อนที่เราจะเข้าใจความยิ่งใหญ่และอิทธิพลของ Bauhaus (เบาเฮาส์) ที่เปรียบดั่งศาสดาของลัทธิโมเดิร์น เราจำเป็นต้องเข้าใจโลกรอบตัวที่สถาบันแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นเสียก่อน Bauhaus ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลผลิตจากการปะทะ, การสังเคราะห์, และการปฏิวัติแนวคิดทางศิลปะและการศึกษาที่ดำเนินมานานหลายศตวรรษ

บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งไปใน 3 กระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ศิลปะยุโรป เพื่อสำรวจรากฐานทางความคิดที่ Bauhaus ได้รับมา, ปฏิเสธ, และนำมาสร้างใหม่ จนกลายเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

1. โลกของช่างฝีมือ: ระบบสมาคมวิชาชีพ "Guild" (ยุคกลาง – ยุคเรอเนซองส์)

ปรัชญาหลัก: เอกภาพของศิลปะและหัตถกรรม, การถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น, และการรักษามาตรฐานฝีมือ

ในยุคกลาง โลกยังไม่มีมหาวิทยาลัยศิลปะหรือโรงงานอุตสาหกรรม องค์ความรู้ด้านการสร้างสรรค์ทั้งหมดถูกรวมศูนย์และถ่ายทอดผ่านระบบสมาคมวิชาชีพที่เรียกว่า "Guild" (กิลด์) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมในทุกเมืองใหญ่

โครงสร้างและวิถีการเรียนรู้:

การจะเป็นช่างฝีมือผู้ชำนาญได้นั้น ต้องผ่านเส้นทางที่ยาวนานและมีลำดับขั้นชัดเจน:

* Apprentice (เด็กฝึกงาน): เด็กหนุ่มจะถูกส่งไป "ฝากตัว" กับปรมาจารย์ (Master) ไม่ใช่ในฐานะนักเรียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของครัวเรือน พวกเขาต้องทำงานรับใช้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาด, บดสี, เตรียมผ้าใบ ไปจนถึงการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานที่สุด เป็นการเรียนรู้ผ่านการซึมซับและลงมือทำในชีวิตจริง

* Journeyman (ลูกมือ/ช่างฝีมือฝึกหัด): หลังจากฝึกฝนมานานหลายปีจนมีฝีมือแกร่งกล้า Apprentice จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็น Journeyman และได้รับใบรับรองให้ออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เพื่อทำงานและแลกเปลี่ยนความรู้กับปรมาจารย์ท่านอื่น เป็นการเปิดโลกทัศน์และสั่งสมประสบการณ์ที่หลากหลาย

* Masterpiece (ผลงานชิ้นเอก): เมื่อ Journeyman กลับมายังเมืองเกิด เขาจะต้องสร้างสรรค์ผลงานชิ้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต หรือ "Masterpiece" เพื่อเสนอต่อสภาของ Guild เป็นการพิสูจน์ว่าเขามีคุณสมบัติคู่ควรที่จะได้รับการยอมรับในฐานะ "Master" หากผลงานผ่านการประเมิน เขาก็จะมีสิทธิ์เปิดสตูดิโอของตัวเองและรับ Apprentice เข้ามาสืบทอดวิชาต่อไป

มรดกสู่ Bauhaus: ระบบ Guild ได้สร้างรากฐานของแนวคิดที่ว่า ศิลปะและหัตถกรรมคือสิ่งเดียวกัน ช่างฝีมือคือผู้สร้างสรรค์ที่เข้าใจวัสดุและกระบวนการอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นแนวคิดหลักที่ Bauhaus จะนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในศตวรรษที่ 20

2. ศิลปะแห่งรัฐ: ระบบราชบัณฑิตยสภา "Academy" (ศตวรรษที่ 17-19)

ปรัชญาหลัก: ศิลปะคือศาสตร์ชั้นสูงทางปัญญา เป็นเครื่องมือในการแสดงอำนาจและรสนิยมของรัฐ และต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว

เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะในฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อำนาจถูกรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง แนวคิดแบบ Guild ที่กระจัดกระจายและเป็นอิสระจึงถูกแทนที่ด้วย ราชบัณฑิตยสภาทางจิตรกรรมและประติมากรรม (Royal Academy) ซึ่งเป็นสถาบันของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมมาตรฐานและทิศทางของศิลปะทั้งปวง

กฎเหล็กของ Academy และเวทีแห่งอำนาจ "The Salon":

Academy ได้แยก "ศิลปิน" (ผู้ใช้ปัญญา) ออกจาก "ช่างฝีมือ" (ผู้ใช้แรงงาน) อย่างชัดเจน และได้วางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด:

* ลำดับชั้นของเนื้อหา (Hierarchy of Genres): ภาพวาดที่ได้รับการยอมรับสูงสุดคือภาพเกี่ยวกับประวัติศาสตร์, ศาสนา, และเทพปกรณัม เพราะถือเป็นการสั่งสอนศีลธรรมและเชิดชูสถาบัน ส่วนภาพทิวทัศน์หรือภาพคนธรรมดานั้นถูกมองว่าเป็นศิลปะชั้นรอง

* รูปแบบที่ "ถูกต้อง": ผลงานต้องแสดงทักษะการวาดที่สมจริงอย่างไร้ที่ติ (Realistic), มีความเรียบเนียนจนมองไม่เห็นฝีแปรง, และนำเสนอเนื้อหาในเชิงอุดมคติมากกว่าความจริง

* The Salon (ซาลง): คือนิทรรศการศิลปะทางการเพียงแห่งเดียวที่จัดโดย Academy การได้แสดงผลงานใน Salon คือหนทางสู่ชื่อเสียงและเกียรติยศ ในทางกลับกัน การถูกปฏิเสธก็หมายถึงการหมดอนาคตในวงการศิลปะ

มรดกสู่ Bauhaus: ระบบ Academy ได้สร้างวัฒนธรรมที่ Bauhaus ต้องการจะทลายลงอย่างสิ้นเชิง Bauhaus ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าศิลปะต้องรับใช้ชนชั้นสูง, การแบ่งแยกศิลปะออกจากงานฝีมือ, และการจำกัดความคิดสร้างสรรค์ให้อยู่ในกรอบที่ตายตัว

3. ศิลปะแห่งชีวิตสมัยใหม่: การปฏิวัติของกลุ่ม "Avant-Garde" (กลางศตวรรษที่ 19)

ปรัชญาหลัก: ศิลปะต้องสะท้อนความจริงของยุคสมัย, กล้าที่จะทดลอง, และแสดงออกถึงการรับรู้ส่วนบุคคล

ความแข็งตัวของระบบ Academy ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างมหาศาล (การปฏิวัติอุตสาหกรรม, การกำเนิดของการถ่ายภาพ) ได้ผลักดันให้เกิดศิลปินกลุ่มใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อกฎเกณฑ์ พวกเขาคือ "Avant-Garde" (อาวองการ์ด) หรือ "หน่วยกล้าตาย" ที่พร้อมจะเสี่ยงเพื่อเปิดพรมแดนใหม่ๆ ให้กับศิลปะ

กรณีศึกษาแห่งการปฏิวัติ:

* เอดัวร์ มาเนต์ (Édouard Manet) และการท้าทายความจริง: ผลงาน "Olympia" ของเขาไม่ได้เป็นเพียงภาพเปลือยธรรมดา แต่เป็นการฉีกหน้ากากความเสแสร้งของสังคมชั้นสูง เขาวาดภาพโสเภณีร่วมสมัยด้วยท่าทางและสายตาที่ท้าทายผู้ชมอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ใช้ฉากบังหน้าของเทพปกรณัมเหมือนที่ศิลปินใน Salon นิยมทำกัน นี่คือการประกาศว่าศิลปะต้องพูดถึงความจริงของชีวิตสมัยใหม่ ไม่ใช่เรื่องเล่าในอดีต

* โคลด โมเนต์ (Claude Monet) และการจับภาพของแสง: เมื่อการถ่ายภาพเข้ามาทำหน้าที่บันทึกความเหมือนจริง โมเนต์และกลุ่มอิมเพรสชันนิสต์จึงหันไปสำรวจสิ่งที่กล้องทำไม่ได้ นั่นคือ "การรับรู้ของมนุษย์" พวกเขาพยายามวาดภาพของ "แสง" ที่กระทบดวงตาในชั่วพริบตา โดยใช้ฝีแปรงที่รวดเร็วและหยาบเพื่อจับภาพความประทับใจ (Impression) นั้นให้ทัน ก่อนที่สมองจะประมวลผลเป็นรูปทรงที่ชัดเจน นี่คือการเปลี่ยนศิลปะจากการลอกเลียนธรรมชาติสู่การตีความธรรมชาติ

มรดกสู่ Bauhaus: Bauhaus ได้รับมรดกทางจิตวิญญาณจากกลุ่ม Avant-Garde มาอย่างเต็มเปี่ยม นั่นคือความกล้าที่จะทดลอง, การตั้งคำถามต่อสิ่งที่เป็นอยู่, การไม่กลัวความล้มเหลว, และการแสวงหารูปแบบการแสดงออกใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับโลกยุคเครื่องจักรและอุตสาหกรรม

บทสรุป: การสังเคราะห์ครั้งประวัติศาสตร์สู่ Bauhaus

Bauhaus คือจุดบรรจบของกระแสธารทั้งสามนี้อย่างน่าอัศจรรย์:

* จาก Guild: Bauhaus นำโครงสร้าง Workshop และแนวคิด "เอกภาพของศิลปะและหัตถกรรม" กลับมา

* จาก Academy: Bauhaus ปฏิเสธ ลำดับชั้น, กฎเกณฑ์ที่ตายตัว, และการแยกศิลปะออกจากชีวิตประจำวัน

* จาก Avant-Garde: Bauhaus โอบรับ จิตวิญญาณแห่งการทดลองและความกล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่

การเข้าใจรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนนี้ ทำให้เราตระหนักว่า Bauhaus ไม่ใช่เพียงโรงเรียนสอนออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย แต่คือผลลัพธ์ของการปฏิวัติทางความคิดครั้งยิ่งใหญ่ ที่พยายามสังเคราะห์สิ่งที่ดีที่สุดจากอดีตและปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับการออกแบบแห่งโลกอนาคต

Previous
Previous

Bauhaus Manifesto คำมั่นสัญญาของ Walter Gropius - DSUN 6

Next
Next

ความคิดสร้างสรรค์ Skill ที่ต้องสร้างตั้งแต่เด็ก โดย ครูแพรว คุณวาทินี บรรจง - DSUN 4