Bauhaus Manifesto คำมั่นสัญญาของ Walter Gropius - DSUN 6

เบ้าหลอมแห่งยุคสมัยใหม่: ถอดรหัสบริบทและแรงผลักดันที่ให้กำเนิด Bauhaus

การจะเข้าใจความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของ Bauhaus (เบาเฮาส์) เราไม่อาจมองมันเป็นเพียงโรงเรียนสอนออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย แต่ต้องมองในฐานะ "โครงการทางสังคม" ที่ถือกำเนิดขึ้นจากซากปรักหักพังและความบอบช้ำของประเทศเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มันคือความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเยียวยาสังคมและสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาผ่านพลังแห่งการออกแบบ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงบริบททางประวัติศาสตร์, แนวคิดปรัชญา, และชีวิตของ Walter Gropius (วอลเตอร์ โกรเปียส) เพื่อทำความเข้าใจว่าพลังทั้งหมดนี้หลอมรวมกันจนกลายเป็นสถาบันที่ปฏิวัติโลกไปตลอดกาลได้อย่างไร

1. ภูมิทัศน์ศิลปะเยอรมนี: ความขัดแย้งระหว่างอดีตอันหอมหวานและปัจจุบันที่น่าอึดอัด

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตทางอัตลักษณ์ สังคมถูกฉีกทึ้งระหว่างสองกระแสความคิดที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งสะท้อนออกมาในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมอย่างชัดเจน:

  • Historicism (ประวัติศาสตร์นิยม): ชนชั้นสูงและกลุ่มอนุรักษ์นิยมยังคงโหยหาความรุ่งเรืองในอดีต สถาปัตยกรรมจึงเต็มไปด้วยการหยิบยืมรูปแบบอันโอ่อ่าจากยุคก่อนๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่แบบนีโอคลาสสิก, ความซับซ้อนแบบโกธิค, หรือความหรูหราแบบบาโรก นี่คือความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวตัวเองไว้กับอดีตที่มั่นคง ในขณะที่โลกปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว

  • Art Nouveau (อาร์ตนูโว หรือ Jugendstil ในเยอรมนี): ในทางกลับกัน ศิลปินอีกกลุ่มหนึ่งพยายามตอบโต้ความแข็งกระด้างของยุคอุตสาหกรรมด้วยการหันไปหาความงามจากธรรมชาติ พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานที่เต็มไปด้วยเส้นสายที่อ่อนช้อยของเถาวัลย์และดอกไม้ มันคือการปฏิเสธโลกแห่งเครื่องจักร แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นงานฝีมือราคาแพงที่เข้าถึงได้เฉพาะคนร่ำรวย

ทั้งสองกระแส แม้จะดูแตกต่าง แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือการ "หันหลัง" ให้กับความเป็นจริงของโลกยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่รอให้แนวคิดใหม่เข้ามาเติมเต็ม

2. Walter Gropius: บุรุษผู้ถูกหล่อหลอมจากเหล็กกล้า, กระจก, และเปลวเพลิงแห่งสงคราม

Walter Gropius คือบุคคลที่เกิดมาเพื่อเชื่อมต่อรอยแยกนี้ เขาได้รับการหล่อหลอมจากสองโลกที่แตกต่าง: ครอบครัวฝ่ายพ่อที่เป็นสถาปนิกผู้เคร่งขรึม และครอบครัวฝ่ายแม่ที่เป็นศิลปินผู้สูงศักดิ์ ประสบการณ์สำคัญที่สร้างตัวตนของเขาคือ:

  • การฝึกงานกับ Peter Behrens: Behrens ไม่ใช่แค่สถาปนิก แต่เป็น "ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์" คนแรกๆ ของโลก เขาทำงานให้กับบริษัท AEG และออกแบบทุกอย่างตั้งแต่ตัวโรงงานผลิตกังหัน, โลโก้บริษัท, ไปจนถึงกาต้มน้ำไฟฟ้า ที่นี่เองที่ Gropius ได้ซึมซับแนวคิดเรื่อง "การออกแบบองค์รวม" (Total Design) และเห็นศักยภาพในการหลอมรวมศิลปะเข้ากับอุตสาหกรรม

  • ผลงานปฏิวัติวงการ - Fagus Factory: โรงงานแห่งนี้คือคำประกาศอิสรภาพจากอดีตของ Gropius เขาใช้เทคโนโลยี "ผนังกระจก" (Curtain Wall) ที่ปลดปล่อยผนังจากการรับน้ำหนัก ทำให้อาคารเต็มไปด้วยแสงสว่างและความโปร่งใส มันไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่เป็นปรัชญาที่สะท้อนถึงโลกยุคใหม่ที่เปิดกว้างและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของคนงาน

  • บาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 1: ประสบการณ์ 4 ปีในฐานะทหารแนวหน้าในสนามรบได้เปลี่ยนแปลง Gropius ไปตลอดกาล เขาได้เห็นเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่เคยชื่นชมถูกนำมาใช้สังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยม ความตายและความสูญเสียได้ทำลายความเชื่อของเขาในลัทธิชาตินิยมและระบบสังคมแบบเก่าจนหมดสิ้น และปลูกฝังความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสังคมใหม่ที่สงบสุข, เท่าเทียม, และเป็นสากล

3. สมรภูมิทางปัญญา: การสังเคราะห์สองแนวคิดใน Deutscher Werkbund

เมื่อกลับจากสงคราม Gropius ได้เข้าสู่ใจกลางของสมรภูมิทางความคิดที่สำคัญที่สุดในวงการออกแบบเยอรมนี นั่นคือการถกเถียงกันภายในสมาพันธ์ Deutscher Werkbund ระหว่างสองยักษ์ใหญ่:

  1. Hermann Muthesius - ฝ่ายมาตรฐานอุตสาหกรรม: เขาเชื่อว่าเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของชาติ เยอรมนีจำเป็นต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่มี "มาตรฐาน" (Standardization) และ "คุณภาพ" ที่สามารถผลิตซ้ำได้จำนวนมากด้วยเครื่องจักร เพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้

  2. Henry van de Velde - ฝ่ายปัจเจกภาพทางศิลปะ: เขาโต้แย้งอย่างรุนแรงว่าการสร้างมาตรฐานคือการทำลาย "จิตวิญญาณ" และ "ความเป็นปัจเจก" ของศิลปิน เขาเชื่อในพลังของศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เพียงชิ้นเดียว

Gropius มองเห็นคุณค่าในทั้งสองแนวทาง เขาตระหนักว่าโลกสมัยใหม่ไม่สามารถปฏิเสธเครื่องจักรและอุตสาหกรรมได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถละทิ้งจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ของศิลปินได้เช่นกัน Bauhaus คือคำตอบของเขาต่อโจทย์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นี้: จะหลอมรวมประสิทธิภาพของเครื่องจักรเข้ากับจิตวิญญาณของศิลปินได้อย่างไร?

4. Bauhaus Manifesto: พิมพ์เขียวสู่โลกใบใหม่

ในปี 1919 Gropius ได้ทำการรวมสถาบันศิลปะและสถาบันหัตถกรรมแห่งเมืองไวมาร์เข้าด้วยกัน และก่อตั้ง "Staatliches Bauhaus" ขึ้น พร้อมกับออกคำประกาศเจตนารมณ์ หรือ Bauhaus Manifesto ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวสำหรับสังคมและการศึกษาในอุดมคติของเขา:

  • ทลายกำแพงระหว่างศิลปินและช่างฝีมือ: นโยบายหลักคือการหลอมรวมศิลปะ (Art) และหัตถกรรม (Craft) เข้าด้วยกันอีกครั้ง เพื่อสร้างบุคลากรพันธุ์ใหม่ที่ Gropius เรียกว่า "ช่างฝีมือยุคใหม่" ผู้ซึ่งมีทั้งวิสัยทัศน์ของศิลปินและทักษะความเข้าใจในวัสดุของช่างฝีมือ

  • ศิลปะเพื่อมวลชน: Bauhaus ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าศิลปะเป็นของสูงค่าสำหรับชนชั้นสูง แต่เชื่อว่าการออกแบบที่ดีควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เป้าหมายคือการใช้เทคโนโลยีการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้

  • ความเป็นสากลและเท่าเทียม: เพื่อตอบโต้ลัทธิชาตินิยมที่นำไปสู่สงคราม Bauhaus ประกาศตัวเป็นสถาบันนานาชาติ เปิดรับนักศึกษาและคณาจารย์จากทุกเชื้อชาติและเพศสภาพ เป็นการสร้างชุมชนที่ไร้พรมแดนเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ "ภาษาทางการออกแบบ" ที่เป็นสากล

  • จิตวิญญาณแห่งการทดลอง: Gropius ได้เชิญเหล่าศิลปินหัวก้าวหน้า หรือ Avant-Garde แห่งยุค เช่น Wassily Kandinsky, Paul Klee, และ Johannes Itten เข้ามาเป็นอาจารย์ พวกเขาไม่ได้มาเพื่อสอนสไตล์ที่ตายตัว แต่มาเพื่อสร้าง "ห้องทดลอง" ทางความคิด ปลูกฝังให้นักเรียนกล้าที่จะตั้งคำถามและค้นหารูปแบบใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับโลกยุคเครื่องจักร

Bauhaus จึงไม่ใช่แค่การปฏิรูปการศึกษา แต่เป็นการปฏิวัติทางความคิด มันคือความพยายามที่จะสร้างสังคมใหม่จากรากฐาน โดยเชื่อว่าการออกแบบที่ดีสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโลกที่เท่าเทียมและสงบสุขขึ้นมาได้จริง

หากใครยังไม่ได้ฟัง Intro to Bauhaus เราขอแนะนำให้กลับไปฟังเพื่อ เข้าใจถึงศัพท์และที่มาของการศึกษาศิลปะในยุโรป ก่อนที่จะมาเป็น Bauhaus ได้ตาม link นี้

Previous
Previous

Bauhaus โรงเรียนศิลปะหัวก้าวหน้า (ตอนจบ) - DSUN 7

Next
Next

สรุปศิลปะยุโรป 300 ปี ก่อนจะมาเป็น Bauhaus - DSUN 5