Kyoto Guideline และ การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม - DSUN 8
ถอดรหัสการออกแบบเมือง: เมื่อ "วัฒนธรรม" และ "เรื่องราว" ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน
รายการ "ดีไซน์ อันโนน" วันนี้ เราจะพาทุกท่านไปสำรวจมิติของการออกแบบที่ลึกซึ้งกว่าแค่ความสวยงามของวัตถุหรือความสะดวกของเทคโนโลยี เราจะเจาะลึกในหัวข้อที่ว่า "การจัดการวัฒนธรรมที่นำไปสู่การพัฒนาเมือง" โดยได้รับเกียรติสูงสุดจาก ดร.นภาสินี สืบสุข ผู้เชี่ยวชาญที่จะมาเปิดมุมมองใหม่ให้เราได้เห็นว่า "วัฒนธรรม" สามารถกลายเป็น "ผลิตภัณฑ์" ที่ทรงพลังได้อย่างไร
ในโลกยุคปัจจุบัน คำว่า "ผลิตภัณฑ์" ไม่ได้จำกัดความหมายอยู่เพียงแค่สินค้าที่จับต้องได้ หรือโค้ดดิจิทัลที่กลายเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนอีกต่อไป แต่มันได้ขยายขอบเขตรวมไปถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทว่าสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล นั่นคือ "วัฒนธรรม" เราต่างประจักษ์ในพลังของสิ่งนี้ผ่านตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถสกัดเอาเรื่องราวและวัฒนธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในวิถีชีวิตและเมืองต่างๆ ออกมาสร้างเป็นรายได้และจุดขายที่แข็งแกร่ง หรือกระแส Soft Power ของเกาหลีใต้ที่ส่งออกวัฒนธรรมป๊อปไปครองใจคนทั่วโลก
คำถามสำคัญคือ เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้มีกระบวนการคิดและ "การออกแบบ" อย่างไร? และเราจะสามารถเปลี่ยน "คุณค่าทางความรู้สึก" (Emotional Value) ที่ผูกพันกับเรื่องราวและสถานที่ ให้กลายเป็น "มูลค่าทางการค้า" (Commercial Value) ที่จับต้องได้และสร้างกำไรอย่างยั่งยืนได้อย่างไร? วันนี้ "พี่หนิง" ดร.นภาสินี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดและทำวิจัยในสายงานนี้มาโดยตรง จะมาไขคำตอบให้กับเรา
จากนักออกแบบผลิตภัณฑ์สู่ผู้จัดการมรดกวัฒนธรรม: เส้นทางแห่งการค้นพบ
จุดเริ่มต้นของพี่หนิงนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง เธอเริ่มต้นจากการเป็นนักออกแบบ จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความสนใจในมิติที่ลึกซึ้งกว่าตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้เธอเบนเข็มสู่การเรียนปริญญาโทในสาขา "การจัดการวัฒนธรรม" (Cultural Management) ซึ่งเป็นหลักสูตรสหสาขาวิชาที่บูรณาการศาสตร์ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งการบริหาร, สถาปัตยกรรม, ศิลปกรรม และนิเทศศาสตร์ และต่อยอดสู่ปริญญาเอกที่ Kyoto Institute of Technology ประเทศญี่ปุ่น โดยทำวิจัยด้านการจัดการชุมชนและเมืองโดยเฉพาะ ปัจจุบัน พี่หนิงนำความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดมาใช้ในตำแหน่ง Assistant Vice President และหัวหน้าทีม City Innovation ที่บริษัท Nebula Corporation by MQDC
เส้นทางนี้เองที่หล่อหลอมให้พี่หนิงมีมุมมองที่พิเศษ สามารถเชื่อมโยงโลกของ "การออกแบบ" ที่เน้นฟังก์ชันและความงาม เข้ากับโลกของ "วัฒนธรรม" ที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ความทรงจำ และความรู้สึกของผู้คน
ถอดบทเรียนจากต่างแดน: เมื่อ "เรื่องราว" คือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้
ประสบการณ์จากการไปเรียนรู้และทำวิจัยในต่างประเทศ ได้เปิดมุมมองให้พี่หนิงเห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า "เรื่องราว" สามารถสร้างมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวและเติมชีวิตชีวาให้เมืองได้อย่างไร
Ghost Tour แห่งเมืองยอร์ก (York), อังกฤษ: ไม่ใช่การทัวร์บ้านผีสิง แต่เป็นกิจกรรมที่พาผู้คนย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เดินไปตามถนนสายเก่าแก่ในยามค่ำคืน เพื่อฟังเรื่องเล่าขานและตำนานของสถานที่ที่เคยมีคนตาย ประสบการณ์นี้ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีไกด์ที่แต่งกายย้อนยุคในชุดโค้ตสีดำ ถือไม้เท้า และสวมหมวกทรงสูง มาเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเย็นๆ สร้างบรรยากาศที่น่าขนลุกและน่าจดจำ นี่คือตัวอย่างชั้นดีของการเปลี่ยน "ตำนาน" ให้กลายเป็น "ประสบการณ์" ที่ขายได้
พลังของ Soft Power ณ ตรอกไดแอกอน: สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Harry Potter ซึ่งเดิมอาจเป็นเพียงตรอกซอยธรรมดา ได้รับการชุบชีวิตให้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แฟนๆ ยอมจ่ายเงินเพื่อมาสัมผัสบรรยากาศโลกเวทมนตร์ ซื้อไม้กายสิทธิ์และไม้กวาด เป็นการพิสูจน์ว่า "วัฒนธรรมป๊อป" สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้มหาศาลที่หล่อเลี้ยงชุมชนได้จริง
ประวัติศาสตร์บาดแผลที่กาญจนบุรี: การจัดการความทรงจำที่แตกต่าง
พี่หนิงได้เล่าถึงโครงการวิจัยที่ซับซ้อนและท้าทายยิ่งขึ้น นั่นคือการศึกษามรดกความทรงจำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายมรณะของกองทัพญี่ปุ่น ที่เกณฑ์เชลยศึกจากชาติตะวันตก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และโดยเฉพาะออสเตรเลีย มาทำงานอย่างทารุณ
ณ ที่แห่งนี้ "ช่องเขาขาด" ยังคงทิ้งร่องรอยของการใช้แรงงานมนุษย์เจาะภูเขาทีละน้อยๆ และรัฐบาลออสเตรเลียได้เข้ามาสร้างพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดของบรรพบุรุษไว้อย่างดีเยี่ยม มุมมองของลูกหลานชาวออสเตรเลียที่มาเยือน คือความต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่แห่งการรำลึกที่สงบและไม่ถูกรบกวน พวกเขารู้สึกตกใจที่เห็นกิจกรรมบันเทิงอย่าง "แพคาราโอเกะ" ล่องอยู่ในแม่น้ำแคว ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการทำลายคุณค่าทางประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของคนไทยและคนในพื้นที่ การดำเนินชีวิตต้องเดินต่อไป การมีอยู่ของกิจกรรมรื่นเริงเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในอีกแง่หนึ่ง มันอาจเป็นกลไกทางสังคมที่ช่วยให้ "ลูกหลานของเราไม่ได้ไปเจ็บแค้นกับเหตุการณ์นี้มากขนาดนั้น" ซึ่งสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของการจัดการพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการเก็บรักษาความทรงจำและการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน
บทสรุปสู่หัวใจของการออกแบบ: "คน" คือผู้สร้างและผู้สานต่อ
จากการเดินทางผ่านกรณีศึกษาที่หลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ พี่หนิงได้กลั่นกรองบทสรุปที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเมืองและการจัดการวัฒนธรรมว่า ทั้งหมดนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ "คน"
"ชุมชนและธุรกิจจะอยู่ต่อไม่ได้ถ้าขาดการดูแล" พี่หนิงเน้นย้ำ "คนที่จะต้องดูแลและสานต่อให้ได้ก็คือคนใช้นั่นแหละ"
นี่คือแนวคิดที่ท้าทายนักออกแบบและนักวางผังเมืองให้มองไกลกว่าแค่การสร้างสถาปัตยกรรมที่สวยงาม หรือพื้นที่สาธารณะที่ทันสมัย แต่ต้องออกแบบ "กระบวนการ" ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นเจ้าของ ผูกพัน และอยากที่จะดูแลรักษาสถานที่นั้นๆ ต่อไป เพราะดังที่พี่หนิงกล่าวปิดท้ายไว้อย่างคมคายว่า "ถ้าเรายังไม่มีความรู้สึกร่วมกับมันเลย จะไปทำให้คนอื่นมีความรู้สึกกับสิ่งนี้ก็คงจะยาก"
นี่คือโลกของการออกแบบที่ใช้ "ความรู้สึก" และ "ความผูกพัน" เป็นวัตถุดิบ เพื่อสร้างสรรค์เมืองและชุมชนที่มีชีวิต มีเรื่องราว และมีคุณค่าที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง