เทคนิคการผลิตที่นักออกแบบควรรู้ 3D Print : โลกของ(ต้น)แบบ - DSUN 14

เจาะลึกเทคโนโลยี 3D Printing: จากไอเดียสู่ชิ้นงานจริงในพริบตา

ในโลกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ความเร็วคือหัวใจสำคัญ เทคโนโลยี 3D Printing หรือ "การพิมพ์ 3 มิติ" ได้เข้ามาปฏิวัติกระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงานต้นแบบ (Prototype) จากที่เคยต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการปั้นโมเดลด้วยมือ ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยนไฟล์ดิจิทัลในคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นวัตถุที่จับต้องได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี 3D Printing ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่ประเภทของซอฟต์แวร์ที่ใช้ ไปจนถึงเทคนิคการพิมพ์ 4 รูปแบบหลักที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อให้คุณเข้าใจและเลือกใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างเหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณ

ก่อนจะพิมพ์ ต้องมี "ไฟล์ 3 มิติ"

หัวใจสำคัญของการพิมพ์ 3 มิติ คือคุณต้องมี ไฟล์โมเดล 3 มิติ (3D File) เสียก่อน เช่นเดียวกับการพิมพ์เอกสารที่ต้องมีไฟล์ Word หรือ PDF การสั่งพิมพ์ 3 มิติก็จำเป็นต้องมีไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรมออกแบบ 3 มิติโดยเฉพาะ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้สามารถแบ่งตามลักษณะการสร้างข้อมูลได้ 2 ประเภทหลักๆ คือ:

* NURBS (Non-Uniform Rational B-Spline): เป็นการสร้างโมเดลโดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์ ทำให้ได้เส้นโค้งและพื้นผิวที่แม่นยำสูง สามารถซูมดูรายละเอียดได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด เหมาะสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความเที่ยงตรงในการประกอบชิ้นส่วน (เช่น SolidWorks, Rhino, Fusion 360)

* Polygon (หรือ Mesh): เป็นการสร้างโมเดลโดยใช้โครงข่ายของรูปหลายเหลี่ยมเล็กๆ มาประกอบกัน มีความยืดหยุ่นสูงเหมือนการปั้นดินน้ำมัน เหมาะสำหรับงานที่เน้นรูปทรงอิสระและมีความเป็นศิลปะ เช่น โมเดลตัวละคร, Art Toys หรืออนิเมชัน (เช่น ZBrush, Blender, Maya)

4 เทคโนโลยียอดนิยมในโลก 3D Printing

เมื่อมีไฟล์ 3 มิติพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกเทคโนโลยีการพิมพ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของชิ้นงาน ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็มีจุดเด่น จุดด้อย และใช้วัสดุที่แตกต่างกันไป

1. FDM (Fused Deposition Modeling)

* หลักการ: เป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายและเข้าถึงง่ายที่สุด โดยใช้หลักการหลอมเส้นพลาสติก (Filament) แล้วฉีดออกมาทีละชั้นซ้อนทับกันจนเกิดเป็นรูปทรง คล้ายกับการทำงานของปืนกาวร้อน

* จุดเด่น:

* ราคาประหยัด: ทั้งตัวเครื่องและวัสดุมีราคาไม่สูง ทำให้เข้าถึงได้ง่าย

* วัสดุหลากหลาย: สามารถใช้วัสดุพลาสติกเชิงวิศวกรรมได้หลายชนิด เช่น PLA, ABS หรือ TPU (พลาสติกยืดหยุ่นคล้ายยาง) ทำให้เหมาะกับการทำชิ้นงานที่ต้องการทดสอบฟังก์ชันเชิงกลไก (Mechanical) และการประกอบ (Fit-check)

* ข้อควรพิจารณา:

* ผิวงานไม่เรียบ: ชิ้นงานที่ได้จะมีลักษณะเป็นเส้นซ้อนกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความสวยงามของพื้นผิวในทันที

2. SLA (Stereolithography)

* หลักการ: ใช้แสง (เช่น เลเซอร์ หรือ UV LED) ฉายไปยังเรซิ่นเหลว (Liquid Resin) เพื่อให้เรซิ่นแข็งตัวเฉพาะจุดตามรูปทรงที่ออกแบบไว้ทีละชั้น

* จุดเด่น:

* ผิวงานเรียบเนียนสวยงาม: ให้รายละเอียดและความคมชัดสูงมาก ชนะเลิศในเรื่องความสวยงาม

* เหมาะกับงาน Art & Design: นิยมใช้ในการทำโมเดล Art Toys, เครื่องประดับ (Jewelry) หรือชิ้นงานที่ต้องการโชว์รายละเอียดและหน้าตาเป็นหลัก (Appearance Model)

* ผลิตจำนวนน้อยได้เร็ว: สามารถพิมพ์ชิ้นงานหลายชิ้นพร้อมกันได้เต็มพื้นที่ของถาดพิมพ์ ทำให้เหมาะกับการทำ Mass Production ในจำนวนไม่มากเพื่อทดลองตลาด

* ข้อควรพิจารณา:

* วัสดุเปราะ: ชิ้นงานที่ได้จากเรซิ่นมาตรฐานจะมีความเปราะ ไม่เหมาะกับการทดสอบฟังก์ชันที่ต้องรับแรงหรือบิดงอ

* ขั้นตอนหลังพิมพ์ซับซ้อน: ต้องมีการทำความสะอาดเรซิ่นเหลวที่เหลืออยู่ออกจากชิ้นงานและตัวเครื่อง ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง

3. SLS (Selective Laser Sintering)

* หลักการ: ใช้เลเซอร์กำลังสูงยิงไปที่ "วัสดุผง" (Powder Material) เช่น ผงไนลอน (Nylon) เพื่อให้ผงวัสดุหลอมละลายและจับตัวกันเป็นก้อนตามรูปทรง

* จุดเด่น:

* ฟังก์ชันเยี่ยม หน้าตาสวย: เป็นเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดทั้งในแง่ของความแข็งแรงเชิงกลไกและความสวยงามของพื้นผิว

* วัสดุมีความยืดหยุ่น: สามารถพิมพ์วัสดุอย่างไนลอนหรือ TPU ที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นสูงได้ดีเยี่ยม เหมาะกับการทำชิ้นงานต้นแบบที่ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์จริงมากที่สุด เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์กีฬา, อุปกรณ์การแพทย์ หรือเคสโทรศัพท์ที่ต้องมีการบิดงอ

* ข้อควรพิจารณา:

* ราคาสูงมาก: เป็นเทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูงที่สุด ทั้งราคาเครื่องจักร วัสดุ และค่าบริการ

4. Z-Corp (หรือ ColorJet Printing - CJP)

* หลักการ: เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หัวพิมพ์อิงค์เจ็ท (Inkjet) พ่นสีและสารยึดเกาะ (Binder) ลงบนชั้นของ "ผงแป้ง" (Gypsum Powder) ทีละชั้น

* จุดเด่น:

* พิมพ์สีได้ในตัว: เป็นเทคโนโลยีเดียวในกลุ่มนี้ที่สามารถสร้างชิ้นงานที่มีสีสันครบถ้วนได้ในขั้นตอนเดียว

* ข้อควรพิจารณา:

* ความแข็งแรงต่ำ: ชิ้นงานที่ได้มีความเปราะบางมาก ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง เป็นเพียงโมเดลสำหรับตั้งโชว์เพื่อดูรูปทรงและสีสันเท่านั้น

* ความละเอียดต่ำ: ความละเอียดของสีและพื้นผิวไม่สูงเท่าเทคโนโลยีอื่น ปัจจุบันจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก

บทสรุป

เทคโนโลยี 3D Printing ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้เราสามารถทดลองและปรับปรุงไอเดีย (Iteration) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น FDM สำหรับการทดสอบฟังก์ชัน, SLA สำหรับความสวยงาม, หรือ SLS สำหรับต้นแบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะช่วยให้โปรเจกต์ของคุณเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและลดความเสี่ยงก่อนการลงทุนผลิตจริงในสเกลใหญ่

Previous
Previous

Requirement Document : แค่บรีฟดี อุบัติเหตุทางดีไซน์ก็ลดลง Dsun 15

Next
Next

James Dyson (ตอนที่ 3) การสร้างบริษัทโดยใช้นวัตกรรมนำกำไร - DSUN 13